โบท็อกลดกราม ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่ควรรู้เอาไว้

โบท็อกลดกราม ช่วยเรื่องอะไร

การฉีดโบท็อกลดกราม ถือเป็นหนึ่งในหัตถการปรับรูปหน้าที่เป็นที่แนะนำมากเป็นอันดับต้นๆ เพราะสามารถให้ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ช่วยให้กรอบหน้าดูเล็กลง และมีรูปทรง V Shape มากขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัดแต่อย่างใด ที่สำคัญคือ เป็นหัตถการที่มีราคาเข้าถึงง่าย แต่ในอีกมุมหนึ่ง หลายคนอาจยังมีความกลัวในการฉีดโบลดกราม เพราะกังวลว่าอาจจะเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย หรือทำให้ใบหน้าเสียโฉมที่มักถูกพูดถึงบ่อยๆ เช่น ยิ้มไม่สุด หน้าตึงจนแสดงสีหน้าไม่ได้ ผิวหนังอักเสบ ติดเชื้อ ฯลฯ

เพื่อคลายความกังวลเหล่านี้ Anna Clinic จะพามาทำความรู้จักการทำงานของโบท็อก รวมถึงผลข้างเคียงและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เลือกฉีดโบท็อกได้แบบไร้กังวล ดูดีได้อย่างปลอดภัย

รู้จักการทำงานของโบท็อก

โบท็อก (Botox) เป็นชื่อทางการค้าของ “Botulinum Toxin Type A” สารสกัดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ที่มีฤทธิ์ในการรบกวนการทำงานของเซลล์ประสาท ทำให้ไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทได้ กล้ามเนื้อที่ไม่ได้ถูกสั่งให้ขยับหรือใช้งานจึงเกิดการคลายตัวในที่สุด

โบท็อกจึงได้ถูกนำมาใช้งานในการลดริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้าที่เกิดจากการเคลื่อนไหว หรือ แสดงอารมณ์สีหน้า บริเวณระหว่างคิ้ว หน้าผาก หางตา รอบปาก รวมไปถึงช่วยกระชับรูขุมขนและยกกระชับใบหน้าอีกด้วย ส่วนโบท็อกลดกราม เป็นการฉีดตัวยาเข้าสู่บริเวณกล้ามเนื้อกราม (Masseter Muscle) ปรับรูปหน้าที่เหลี่ยมให้เรียวขึ้น ช่วยให้กรอบหน้าชัดเจน ส่งผลให้ใบหน้าโดยรวมดูอ่อนเยาว์ขึ้น

โบท็อกลดกรามอันตราย จริงหรือไม่?

หลายคนมีความกังวลถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดโบท็อก เนื่องจากได้ยินสิ่งที่มักถูกบอกต่อๆ กันมา หรือข่าวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งต้องขอบอกเอาไว้ว่า จากสถิติการรักษาผู้ป่วยด้วยโบท็อกในต่างประเทศ พบว่าไม่มีอันตรายถึงชีวิตและเกิดผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อย เมื่อใช้ฉีดอย่างถูกวิธีในปริมาณที่เหมาะสมกับปัญหา และอยู่ในความดูแลของแพทย์ ดังนั้น การฉีดโบลดกราม หน้าเรียว หรือลดริ้วรอยต่างๆ ควรทำโดยของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีใบอนุญาต ดำเนินการผ่านคลินิกที่สะอาดได้มาตรฐานและขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง 

ที่สำคัญคือ ควรหลีกเลี่ยง “หมอกระเป๋า” อย่างเด็ดขาด เพราะมีความเสี่ยงที่เราอาจเจอกับโบท็อกปลอมที่ไม่ผ่านอย. รวมไปถึงเทคนิคการฉีดแบบผิดๆ ที่ส่งผลอันตราย รวมถึงควรเช็กความพร้อมของสภาพร่างกายของตนเอง ปฏิบัติตามขั้นตอนที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด เท่านี้การฉีดโบท็อกก็จะไม่อันตรายหรือน่ากลัวอีกต่อไป

ผลข้างเคียงหลังฉีดโบท็อก มีอะไรบ้าง

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดโบท็อก

การฉีดโบท็อกริ้วรอยที่เป็นโบท็อกแท้ผ่านอย. จะไม่ทิ้งสารตกค้างให้แก่ร่างกาย อย่างไรก็ตาม ยังคงมีผลข้างเคียงที่สามารถเกิดขึ้นได้หลังฉีด เช่น รู้สึกตึงๆ บริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นอาการปกติที่ไม่อันตรายใดๆ ทั้งนี้ เมื่อฉีดโบอาจมีผลข้างเคียงอื่นๆ ที่มีโอกาสเกิดได้แต่ไม่อันตรายถึงชีวิต คือ

1.รอยจ้ำแดงๆ หรือรอยเขียวช้ำบริเวณที่ฉีด

เกิดจากการใช้เข็มของแพทย์ในการฉีดโบท็อก ซึ่งเป็นอาการปกติที่พบได้ทั่วไป

ส่วนผลข้างเคียงที่ควรรีบปรึกษาแพทย์เมื่อเกิดขึ้น ได้แก่

2.อาการบวมแดง รู้สึกเจ็บในตำแหน่งที่ฉีด

มีสาเหตุจากการติดเชื้อ เนื่องจากโบท็อกที่ไม่ได้มาตรฐานมีการเก็บรักษาที่ไม่เหมาะสมจนมีการปนเปื้อน

3.หนังตาตก มุมปากตกชั่วคราว หรือยิ้มเบี้ยว

ส่วนใหญ่มักเกิดจากฉีดโบท็อกผิดตำแหน่ง ซึ่งอาจเป็นเพราะแพทย์ขาดประสบการณ์ หรือตัวยากระจายไปยังกล้ามเนื้อที่ไม่ต้องการ เนื่องจากพฤติกรรมการดูแลตัวเองไม่เหมาะสมหลังฉีด

4.ผิวหนังยุบตัวบริเวณที่ฉีด

เป็นผลข้างเคียงที่พบได้ไม่บ่อยนัก ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากกล้ามเนื้อที่ฝ่อตัวลงชั่วคราว แต่สามารถหายเองได้ เมื่อฤทธิ์ของโบท็อกค่อยๆ ลดลงไป

แม้ผลข้างเคียงเหล่านี้อาจจะฟังดูน่ากลัว แต่ก็ไม่เป็นอันตรายใดๆ ต่อชีวิตและรักษาให้หายได้ หากปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ปฏิบัติตามแพทย์แนะนำ และดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี

อาการแพ้โบท็อก สังเกตอย่างไร?

บางคนอาจมีอาการแพ้โบท็อก ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้หลังฉีด แม้เป็นอาการที่พบได้น้อย แต่ก็ควรทราบถึงวิธีสังเกตอาการนี้ เพื่อให้รู้ตัวทันและเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที โดยอาการแพ้โบท็อก ได้แก่ มีผื่นคันขึ้นบนผิวหนังบริเวณที่ฉีดโบท็อก บางคนอาจรู้สึกอ่อนเพลีย มีไข้ต่ำๆ คลื่นไส้ อาเจียน หรือหายใจติดขัด

สาเหตุของอาการเหล่านี้มาจากปฏิกิริยาของร่างกาย ที่สร้างภูมิต้านทานมาต่อต้านสารแปลกปลอมเข้าไป ซึ่งร่างกายของแต่ละคนก็อาจตอบสนองมากน้อยแตกต่างกันไป จึงขอแนะนำว่า หากมีอาการผิดปกติให้รีบปรึกษาแพทย์จะดีที่สุด

นอกจากนี้ ในกรณีของคนไข้บางรายที่ฉีดโบท็อกบ่อยเกินไปและฉีดในปริมาณมากๆ อาจกระตุ้นให้ร่างกายต่อต้านโบท็อก จนแสดงอาการแพ้ออกมา รวมถึงเพิ่มโอกาสทำให้ดื้อโบท็อกอีกด้วย ส่งผลให้การฉีดโบท็อกไม่ได้ผลในที่สุด

แนวทางการรักษาผลข้างเคียงหลังฉีดโบท็อก

เมื่อเกิดผลข้างเคียงควรทำอย่างไร?

ผลข้างเคียงอย่าง รอยช้ำแดงเขียวบริเวณที่ฉีดสามารถหายเองได้ภายใน 2-3 วันเข้ารับการรักษา ส่วนอาการติดเชื้อ หนังตาตก หรือรูปหน้าเปลี่ยนแปลงไปไม่ได้ผลตามต้องการ ควรรีบเข้าปรึกษาแพทย์ผู้ดูแล เพื่อขอคำปรึกษาและแก้ไข

ใครบ้างที่ไม่ควรฉีดโบท็อก?

แม้โบท็อกจะเป็นหัตถการที่เข้าถึงง่ายและให้ผลลัพธ์ชัดเจน ทั้งนี้ผู้คนบางกลุ่มอาจไม่เหมาะกับการฉีดโบท็อก ได้แก่

  • ผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เพราะฤทธิ์ของโบท็อกอาจส่งผลให้อาการแย่ลง
  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ไม่ควรฉีดโบท็อกซ์เพื่อป้องกันผลข้างเคียงไปสู่บุตร
  • ผู้ที่มีอาการแพ้โบท็อก เพราะมีบางคนที่แพ้ส่วนประกอบของโบท็อก ควรหลีกเลี่ยงหรือใช้หัตถการอื่นๆ แทน
  • ผู้ที่มีผิวหนังอักเสบหรือติดเชื้อในบริเวณที่จะฉีด ควรรักษาอาการดังกล่าวให้หายดีก่อนฉีดโบท็อก

การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อก

โดยปกติแล้ว โบท็อกชนิดชั่วคราว (Temporary Botox) สามารถออกฤทธิ์ได้นานเฉลี่ย 4-6 เดือน ซึ่งเป็นชนิดที่ผ่านการรับรองจากอย. และใช้ได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ เพื่อให้ประสิทธิภาพของโบท็อกลดกรามคงทนอยู่อย่างยาวนานที่สุด หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การดูแลตัวเองให้ดีตามตำแนะนำของแพทย์

1.งดการสัมผัสใบหน้า

ไม่สัมผัสใบหน้า กด หรือนวดบริเวณที่ฉีด เพราะอาจส่งผลต่อการกระจายตัวของตัวยาไปยังกล้ามเนื้ออื่นๆ ที่ไม่ต้องการ ซึ่งผลของโบท็อกจะค่อยๆ ชัดขึ้นในระยะ 7 – 14 วันแรก ดังนั้น ควรเลี่ยงการกดนวดใบหน้า โดยเฉพาะ 1-2 สัปดาห์แรกหลังฉีด

2.หลีกเลี่ยงการนอนราบ

การสัมผัสใบหน้าส่งผลต่อการกระจายตัวของโบท็อก การนอนก็เช่นกัน ในช่วง 3-4 ชั่วโมงแรกหลังฉีดคนไข้ควรงดนอนราบ หรือนอนตะแคง รวมถึงงดก้มหัวลงต่ำกว่าระดับหัวใจ เนื่องจากโบท็อกที่เข้าไปอาจกระจายตัวมากเกินไปผ่านการไหลเวียนของเลือด จึงมีโอกาสทำให้ตัวยาไหลไปยังจุดอื่นๆ ที่ไม่ต้องการ ซึ่งอาจทำให้เกิดการบวมช้ำมากขึ้น หรือเกิดผลข้างเคียง

3.งดการทำกิจกรรมที่พบกับความร้อน

โบท็อกนั้นจะสลายตัวออกไปเร็วขึ้นเมื่อผิวสัมผัสกับความร้อน ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงความร้อนในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังฉีด เช่น การอบซาวน่า ใช้น้ำอุ่นล้างหน้า อบไอน้ำ  การออกกำลังกายหนักๆ หรือการออกแดดจัด และควรทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากกิจกรรมเหล่านี้ความดันเลือดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการบวมช้ำเห็นชัดมากขึ้น ส่งผลให้โบท็อกกระจายตัวและสลายตัวออกไปเร็วขึ้น

4.ไม่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์

สารในบุหรี่อย่างนิโคติน (Nicotine) ส่งผลต่อการขยายตัวของหลอดเลือด ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นมีฤทธิ์ทำให้เส้นเลือดฝอยที่อยู่ใต้ผิวหนังเกิดการขยายตัว ซึ่งเส้นเลือดที่ขยายตัวขึ้นนั้นจะเข้าไปรบกวนการกระจายตัวของโบท็อก ทำให้กระจายตัวได้ไม่เต็มที่ ได้ผลลัพธ์น้อยกว่าที่ประเมินเอาไว้ อีกทั้งแอลกอฮอล์ยังทำให้แผลหรือรอยบวมจากเข็มหายช้าอีกด้วย

5.งดการรับประทานยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด

หลังฉีดโบท็อก ควรงดรับประทานยาหรืออาหารเสริมที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือดเป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพราะยาในกลุ่มนี้อาจทำให้เลือดหยุดไหลช้า เป็นแผลนานกว่าเดิม หรืออาจทิ้งรอยช้ำไว้บริเวณที่ฉีด โดยตัวอย่างกลุ่มยาที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ วิตามิน อี (Vitamin E) ยาต้านการอักเสบ ชนิด NSAIDs เช่น แอสไพริน (Aspirin), ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)  และนาพรอกเซน (Naproxen) เป็นต้น

สุดท้ายนี้ ต้องไม่ลืมที่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เลือกใช้บริการกับคลินิกที่น่าเชื่อถือ และใช้ตัวยาโบท็อกของแท้ได้มาตรฐานเท่านั้น

ฉีดโบท็อกกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ Anna Clinic

แพทย์ประจำ Anna Clinic คือ ผู้เชี่ยวชาญในการปรับรูปหน้า สามารถออกแบบรูปหน้าเป็นรายบุคคล (Individual Facial Design) ก่อนเริ่มฉีดโบท็อก เพื่อให้คนไข้ทราบถึงปัญหาและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม โปรแกรมการรักษาของเราจึงแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ได้ผลลัพธ์ตามที่คนไข้ต้องการ นอกจากนี้ เรายังมีบริการปรับรูปหน้าด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟิลเลอร์ เมโสแฟต หรืออัลเทอร่า

มั่นใจและปลอดภัยกว่า เพราะ Anna Clinic เลือกใช้ตัวยาและเครื่องมือของแท้ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากอย. พร้อมดูแลทุกปัญหาและให้คำปรึกษา หากสนใจปรับรูปหน้าให้หรือต้องการคำปรึกษา สามารถติดต่อ Anna Clinic ผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้

โทร. 063-556-2626 หรือ LINE @annaclinic

อย่าลืมติดตามเราบน Social Media เพื่อติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นใหม่ๆ

Facebook: Anna Clinic

Instagram: annaclinic

TikTok: annaclinic

YouTube: Anna Clinic Official

เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง